in

[spin9] รีวิว iPhone 14 Pro และ 14 Pro Max — เพิ่มขึ้นทุกฟีเจอร์ เพิ่มราคาด้วย

สวัสดีครับ อู๋ Spin9 ครับ คุณผู้ชมครับ เปิดตัวอย่างเป็นทางการไปแล้วนะครับ ทาง iPhone 14 Pro แล้วก็ iPhone 14 Pro Max นะครับ แน่นอนว่าทุกครั้งที่ iPhone เปิดตัวนี้เราก็จะอยากได้กันใช่ไหมครับ อยากจะอัปเกรด iPhone เครื่องเดิมของเรา หรือแม้กระทั่งย้ายค่ายกันมานะครับ เพื่อที่จะมาใช้ iPhone รุ่นใหม่ของปีนี้ครับ คลิปนี้ผมจะรีวิวให้ชมเลยว่าหลังจากที่ผมได้ทดลองใช้แล้ว ในฟีเจอร์หลากหลายฟีเจอร์เลยที่ในงานเปิดตัวหลายคนว้าวกัน มันว้าวจริงอย่างที่เขาว่ากันหรือเปล่านะครับ แล้วก็ iPhone 14 Pro กับ iPhone 14 Pro Max เราควรที่จะเสียเงินอัปเกรดกันมาใช้กันหรือเปล่า เราจะได้คำตอบจากคลิปนี้อย่างแน่นอนครับ ใครหาซื้อเคส iPhone 14 ลองดูที่ร้าน 425 degree ได้ครับ เขาคัดมาแล้วจากทั่วโลก มีแบบให้เลือกเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นเคสใสโชว์สีเครื่องเคสกันกระแทกเท่ๆ เคสกลิตเตอร์สวยๆ เขามีรีวิวแนะนำกันชัดๆ ให้เลือกกันง่ายๆ ลองไปดูกันได้ที่ www.425degree.com

ทีเรื่องแรกเลยก่อนที่จะพูดถึงเรื่องอื่นๆ ก็ต้องคุยกันเรื่องของดีไซน์กันก่อนนะครับ iPhone 14 ในรอบนี้ถ้าพูดถึงดีไซน์ผมคิดว่าไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง คือ Apple เพิ่งเปลี่ยนดีไซน์ของ iPhone ให้มาเป็นลักษณะของขอบเหลี่ยม คือเหลี่ยมแบบตัดตรงอย่างนี้เลยนะทุกด้าน ตอน iPhone 12 ใช่ไหมก็คือเพิ่ง 2 ปีที่แล้วเองนะครับ รอบนี้ยังคงเหมือนเดิมใน iPhone 14 ก็คือตัดขอบเหลี่ยมนะครับ ขนาดเท่าเดิมเลย iPhone 14 Pro คือขนาดหน้าจอ 6.1 นิ้ว แล้วก็ iPhone Pro Max 6.7 นิ้วนะครับ ดังนั้นถ้าเกิดเราดูจากด้านหลังอ่ะ การจัดเรียงกล้อง 3 ตัวของรุ่นโปรนะครับ แล้วก็ตัดขอบเหรียญอะไร มันจะไม่เห็นความแตกต่างก็คือมองแทบไม่ออกอ่ะ จริงๆ ชุดกล้องจะใหญ่ขึ้นนิดเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเกิดไม่เทียบกันก็คือแทบจะไม่รับรู้อะไรเลยนะครับ ด้านหน้าก็จะเป็นหน้าจอเต็มพื้นที่นะครับ สังเกตได้ในรุ่น iPhone 14 ก็คือมันจะไม่มีติ่งหน้าจอแล้วนะครับ ก็คือเขาจะปรับมาเป็นการเจาะรูบนหน้าจอแบบนี้แทนนะครับ ที่เป็นพื้นที่ดำๆ เขามีชื่อเรียกเท่ๆ ว่า Dynamic Island ที่เดี๋ยวเราเจาะลึกกันในคลิปนี้ต่อไปนะครับ

แต่ว่าสิ่งที่ Apple ชอบทำกับ iPhone ตอนที่เขาเปิดตัวทุกรอบ ก็คือเขาจะมีสีเฉพาะของรุ่นนั้น ก็ถ้าเกิดเราย้อนไปดู iPhone 11 ก็จะมีสีเขียวที่เรียกว่า Midnight Green iPhone 12 ก็จะมีสีฟ้า Pacific Blue แล้วก็ปีที่แล้วเป็น Sierra Blue นะครับ ปีนี้เป็น Deep Purple หรือว่าสีม่วงเข้มครับ ดูสิ สีม่วงเข้มของเขาอ่ะมันเป็นม่วงที่มีระดับ คือมันดูแพงนะครับ คือมันไม่ได้ม่วงเข้มจนเป็นแบบเปลือกมังคุดนะครับ แต่ก็ไม่ได้อ่อนมากนะครับ เป็นโทนที่กำลังดีเหมือนกันนะ ดูความม่วงของ Deep Purple รอบนี้นะครับ ก็จะเห็นว่าถ้าเกิดอยู่ Outdoor แบบนี้ มันเห็นความม่วงค่อนข้างชัดเลยเหมือนกันนะครับ บางจังหวะบางมุมที่สะท้อนเห็นเป็นม่วงอ่อนๆ เลยด้วยซ้ำนะครับ แต่ว่าโดยส่วนมากเราจะเห็นเป็นสีม่วงเข้มๆ แหละ แต่ถ้าจะอยู่ Indoor แสงไม่ได้เยอะมาก บางจังหวะเราจะรู้สึกว่าเป็นสีเทาเลยนะครับ เพื่อให้เห็นภาพมากขึ้นผมเทียบกับสี Space Black รอบนี้เปลี่ยนชื่ออีกแล้วนะครับ ปีที่แล้วสีโทนประมาณนี้สีโทนเทาดำๆ เขาจะชื่อกราไฟต์ใช่ไหม

รอบนี้ Apple เขาทำเข้มกว่าเดิมคือมืดกว่าเดิมนะครับ ชื่อสี Space Black ถ้าเกิดเทียบกันก็จะเห็นว่า Deep Purple ที่เราอาจจะเห็นว่ามันเทา มันก็ไม่เทานะ มีความแตกต่างกันนะครับ ในมุมที่สะท้อนไฟบางมุมก็ใกล้เคียงกันบ้าง แต่ว่ามีความต่างค่อนข้างชัดครับ ถ้าเกิดเทียบกัน อีกเรื่องหนึ่งของดีไซน์ที่คนก็ถามถึงกันมาหลายปีนะครับ ว่า Apple ยังชาร์จด้วยหัว Lightning อยู่หรอ ยังไม่เปลี่ยนเป็น Type C หรอ iPhone 14 เป็นยังไงนะครับ ก็ยังชาร์จด้วย Lightning เหมือนเดิมนะครับ สายที่เป็นหัว Lightning ถ้าเกิดใครต้องพกอุปกรณ์อย่างอื่นก็อาจจะยังต้องพกต่อไปนะครับ คือพกคู่กับสาย Type C ของเรานั่นแหละ เพราะว่ามันยังต้องชาร์จด้วยกันอยู่อ่ะ คือยังไม่ยอมเปลี่ยนเป็น Type C สักที ก็ยังไม่เปลี่ยนนะ ถึงแม้ว่าปีนี้ยังเป็นหัว Lightning อยู่ยังไม่ได้ถอดอะไรออกไปนะครับ แต่สิ่งที่ถอดออกไปแล้วจริงจังเลยนะครับ ก็คือถาดซิม ถ้าเกิดใครดู Keynote จะเห็นว่าใน iPhone 14 อ่ะไม่มีถาดซิมให้ใส่นะครับ

คือบังคับใช้ eSIM ทั้งหมดเลย แต่ว่าจะเกิดขึ้นในเฉพาะ iPhone ที่ขายในสหรัฐอเมริกาก่อนนะครับ เครื่องสหรัฐอเมริกาไม่มีถาดซิม คือเขาลดต้นทุนไง คือเขาไม่อยากแถมเข็มจิ้มซิมกับเรา ไม่ใช่นะครับ คือ Apple เห็นแล้วว่าจริงๆ ทิศทางของโทรศัพท์มือถือในอนาคต ควรจะต้องใช้ eSIM แหละ ซิมการ์ดพลาสติกที่เราใช้กันมาอย่างยาวนานควรจะต้องค่อยๆ เลิกใช้กันไป จริงๆ ในไทยเองทุกค่ายก็มี eSIM ให้เราเปิดใช้งานกันแล้วนะครับ แต่ว่ารอบนี้ถือว่าใจถึงมากในการตัดถาดซิม ที่ขายกับ iPhone 14 ทุกรุ่นในสหรัฐอเมริกาออกมานะครับ รุ่นที่ขายในประเทศไทยยังวางใจได้สำหรับคนที่ยังใช้ซิมพลาสติกอยู่นะครับ ยังคงมีถาดซิมให้อยู่เหมือนเดิมนะครับ อันนี้ย้ำอีกทีหนึ่งเพราะว่าถ้าเกิดใครดูจาก Keynote แล้วบอกว่า iPhone 14 ไม่มีถาดซิมแล้ว อันนั้นเฉพาะรุ่นที่ขายในสหรัฐอเมริกาเท่านั้นครับ ทีนี้มาไฮไลท์เลยของ iPhone 14 Pro และก็ iPhone 14 Pro Max ก็คือบริเวณติ่งหน้าจอด้านหน้าด้านบนตรงนี้ ที่มันเคยเป็นรอยบากที่เราอาจจะเรียกว่านอตอาจจะเรียกว่ารอยบากอะไรก็ตามมานะครับ หรือเรียกว่าติ่งหน้าจอก็ได้ใน iPhone ที่เราคุ้นเคยกันมาหลายปีนี้ มันหายไปละ มันกลายเป็นหน้าจอที่ถูกเจาะรูกล้องหน้า

คล้ายๆ กับโทรศัพท์ Android หลายรุ่นที่ทำมาหลายปีแล้วเช่นเดียวกันนะครับ ทีนี้ Apple ทำเรื่องนี้ได้ช้ากว่าคนอื่นนะ ก็ต้องทำให้แตกต่างใช่ไหมครับ Apple บอกว่าเขาขอเรียกพื้นที่ดำๆ ตรงนี้ที่ถูกเจาะรูไปนี้ว่าเป็น Island นะครับ หรือว่าเป็นเกาะแล้วก็ไม่เป็นเกาะธรรมดาด้วย เขาเรียกว่า Dynamic Island ก็คือเกาะสีดำๆ ตรงนี้มันสามารถที่จะ Dynamic ได้ Dynamic ก็คือมันสามารถที่จะใหญ่ขึ้นเล็กลง ปรับเปลี่ยนขนาดได้ตามคอนเทนต์ที่เปลี่ยนแปลงไปนะครับ มันเป็นเกาะยังไงอ่ะดูก่อน นี่คือขนาดมาตรฐานที่สุดของเขาก็คือเกาะนี้นะ ลองดูนะ เกาะนี้มันจะเล็กที่สุดได้แค่นี้แหละ เพราะว่านี่คือพื้นที่ของกล้องแล้วก็ชุด Face ID มันจะอยู่เท่านี้นะครับ ทีนี้เกาะตรงนี้มันจะปรับเปลี่ยนขนาดยังไงนะครับ ลองดูว่าถ้าเกิดสมมุติว่าเราก็ใช้งานโทรศัพท์เราไปนี่แหละ เล่นโซเชียลมีเดียอะไรต่างๆ อยู่ใช่ไหมครับ กำลังเบราว์ไปมานะครับ ทีนี้ถ้าเกิดมีคนโทรเข้ามาเป็นยังไงลองดูนะครับ เห็นป่ะว่าเกาะมันขยายขนาดตัวเองขึ้นมา โดยที่พื้นที่มันขยายขึ้นมาเขายังเน้นว่าพื้นหลังมันจะเป็นสีดำอย่างนี้อยู่ แล้วก็รูปร่างของมันก็ยังเป็นรูปร่างวงรีคล้ายๆ เกาะอย่างนี้อยู่นะครับ เราสามารถที่จะใช้งานหลายอย่างไปพร้อมกันได้ แล้วก็กดรับสายไปพร้อมกันอย่างนี้ พอเรากดรับสายไปนะครับ เกาะมันก็จะเล็กลงเพราะตอนนี้เรามันไม่มีอะไรให้เราแตะล่ะ ไม่ต้องกดรับสายหรือปฏิเสธสายแล้วครับ แต่มันยังโชว์สถานะอยู่ คือมันจะใหญ่กว่าเกาะขนาดมาตรฐานขึ้นมานิดหนึ่งนะครับ เพื่อที่จะบอกเราว่าตอนนี้เรามีสายโทรคุยอยู่นะ แล้วก็มี Waveform บอกด้วยนะครับ เวลาที่เราพูดตามเสียงผมเลยนะ ไม่ได้พูดก็เงียบใช่ไหม

ถ้าพูดปุ๊บก็มี Waveform ขึ้นอย่างนี้นะครับ เหมือนกับบอกให้เรารับรู้ว่าตอนนี้ไมโครโฟนของเครื่องอ่ะ กำลังทำงานอยู่นะครับ แล้วก็กำลังฟังเสียงเราอยู่ด้วยนะครับ อยากจะวางสายทำยังไงไม่มีปุ่มให้วางสายนะครับ ก็มี 2 ตัวเลือกก็คือเราแตะขึ้นมาอย่างนี้เลย ก็จะเข้าหน้าโทรศัพท์ปกติ ที่เราเคยใช้งานใน iPhone มาอย่างคุ้นเคยนี่แหละ หรือทางเลือกที่ 2 ก็คือแตะค้าง มันจะขยายขนาดเกาะนี้ขึ้นมา ก็จะกดออกลำโพงก็ได้หรือกดวางสายก็ได้นะครับ ลองดูว่าวางสายแล้วเกิดอะไรขึ้น มันก็จะกลับไปเป็นขนาดเกาะปกติอีกครั้งหนึ่งนะครับ ตอนนี้อาจจะยังมีแอปที่รองรับ Dynamic Island ไม่ได้เยอะมาก เพราะว่า iPhone 14 นี้เพิ่งเปิดตัวใช่ไหมครับ ส่วนมากก็จะเป็นแอป ของ Apple เองนะครับ ยกตัวอย่างสมมุติว่าผมเล่นเพลงเปิดเพลงนะในแอป Music นี้ ตอนนี้เพลงก็เล่นไปอยู่นะครับ ถ้าเกิดอยู่ในแอป Music เราควบคุมทุกอย่างได้นะครับ ขนาดเกาะก็ยังเท่าเดิมนะครับ ถ้าเกิดเราออกมาที่หน้า Home ครับ ขนาดเกาะมันขยายใหญ่ขึ้นมันเนียน คือเรารู้สึกว่าทุกอย่างมันทำได้ลื่นไหลไปหมดเลย คือรูปร่างมันเป็นรูปร่างเดิม แต่ว่ามันอาจจะยืดยาวขึ้นนิดหนึ่งนะครับ อาจจะใหญ่ขึ้นมาทั้งก้อน ถ้าเกิดเป็นเพลงเราแตะค้างเป็นยังไง ก็มีให้เราคอนโทรลโดยที่รูปร่างของเขาก็ยังคงเป็นพื้นหลังสีดำอยู่นะครับ มีความโค้งอยู่นะครับ ความโค้งทุกอย่างมันเท่ากับความโค้งของตัวโทรศัพท์เลย คือมันเนียนไปหมดเลยนะครับ

เราสามารถใช้งานทุกอย่างไปได้พร้อมๆ กันนะครับ ตอนที่เราไม่ได้ควบคุมมันก็จะลดขนาดเล็กลงนะครับ สมมุติว่าเพลงนี้ผมเลิกละ ผมไม่เล่นเพลงต่อละ เลิกเล่นแล้วนะครับ แล้วก็ออกมา แป๊บเดียวเท่านั้นน่ะมันก็จะหดพื้นที่กลับไป เหลือแค่ขนาด Dynamic Island เกาะขนาดมาตรฐานของเขาเหมือนเดิม รอที่เราจะเปิดแอปอื่นๆ เพื่อให้มันมาแสดงผล เท่ากับว่าตอนนี้ iPhone 14 Pro มันเหมือนกับเรา Multitasking ได้เบาๆ เลยอ่ะ คือปกติแล้วใน 1 หน้าจอมันเปิดได้ 1 แอปใช่ไหมครับ ตอนนี้ถ้าเกิดใครใช้ Android ที่มันเปิดได้ 2 หน้าต่างพร้อมกัน ก็ทำไม่ได้หรอ ทีละขั้นทีละตอนแล้วกัน ตอนนี้ iPhone นอกจากแอปหลักที่เราเปิดไว้ มันยังมีข้อมูลบน Dynamic Island ให้เราได้ดูอยู่ตลอดนะครับ แล้วก็สามารถแตะข้างขึ้นมาได้ด้วยนะครับ เก่งไปกว่านั้นอีกนะครับ เก่งกว่านั้นอีก ถ้าเกิดเมื่อกี้เปิดเพลงอีก เปิดเพลงเหมือนเดิมแล้วกันนะ สมมุติว่าเปิดเพลงนะครับ ตอนนี้มี 1 ข้อมูลอยู่บนนี้ก็คือเล่นเพลงใช่ไหมครับ มี Album Artwork ให้เราดูเล็กๆ

เหมือนกับ Waveform ให้เราดูว่าตอนนี้มันกำลังเล่นเพลงอยู่ สมมุติว่าผมมีอีก 1 แอปแล้วกัน เราเข้าไปจับเวลากันนะครับ สมมุติว่าใครใช้ Timer ผมจับเวลา 15 นาทีถอยหลัง กลับมาที่หน้า Home ครับ Dynamic Island ของเราโชว์ทั้ง 2 แอปนะครับ ก็คือบอกว่าตอนนี้เพลงกำลังเล่นอยู่ด้วย แล้วก็ Timer ก็กำลังจับเวลาอยู่ด้วย แล้วมันก็เวิร์กกับการแตะด้วยนะครับ สมมุติว่าผมแตะเพลงค้าง ก็สามารถควบคุมเพลงได้ ผมมาแตะเข้า Timer ค้าง ก็ยังเป็น Timer 15 นาทีนับถอยหลังของผมอยู่บอกอย่างนี้ ระหว่างนี้เราจะเข้าแอปพลิเคชันอื่น จะเข้าไปทำอะไรในแอปอื่นๆ ก็สามารถทำไปได้พร้อมๆ กันนะครับ การแตะบริเวณ Dynamic Island เหมือนกับถ้าเกิดใครรู้เยอะหน่อยรู้เรื่องฮาร์ดแวร์ ก็บอกว่าจริงๆ พื้นที่ที่เจาะไว้ตรงกลางที่มันแสดงผลอะไรไม่ได้ มันเป็นชุดกล้องมันเป็นชุด Face ID แล้วแตะตรงนั้นมันจะไม่มีผลอะไรหรือเปล่าต้องมาแตะข้างๆ เฉียดๆ หรือเปล่า ไม่ต้องนะครับ แตะได้เลยแตะตรงกลางนี่แหละ ผมดูเลยแตะตรงกลางนี่แหละ แตะค้างตรงกลางควบคุมได้นะครับ ดังนั้นเขาทำตรงนี้ให้ค่อนข้างเนียนเลยนะครับ

ซึ่งผมคิดว่านี่เป็นคอนเซ็ปต์ที่ฉลาดมาก ในการที่จะประยุกต์เอาการเจาะรูของหน้าจอใส่อุปกรณ์ใส่ Component เข้าไปนะครับ หลายค่ายของแอนดรอยด์ก่อนหน้านี้พยายามที่จะซ่อนรูหน้าจอตรงนี้ ไม่ว่าจะทำให้มันเล็กที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ เอามันไปไว้ที่มุมหรือว่าพยายามหา Wallpaper อะไรมา ที่เพื่อที่จะโปรโมตว่ามันไม่ได้มีรูอยู่บนหน้าจอ พยายามจะซ่อนมัน แต่ว่าคอนเซ็ปต์ของ Dynamic Island จาก Apple จะพยายามที่จะโชว์มันนะครับ ว่ามันมีรูอยู่หน้าจอแต่มันเท่ได้นะครับ นี่คือสิ่งที่ทำให้เกิดความฮือฮาขึ้นตอนที่เปิดตัว iPhone 14 Pro กับ iPhone 14 Pro Max นะครับ ประสบการณ์การใช้งานก็ถือว่ายอดเยี่ยม การโทรเข้าโทรออกทุกครั้งที่เราเสียบชาร์จนะครับ Dynamic Island มันจะขยายขนาดพื้นที่มานะครับ บอกข้อมูลกับเราเร็วๆ ว่าตอนนี้เสียบชาร์จเป็นยังไง แป๊บหนึ่งก็จะหดพื้นที่กลับไปนะครับ คืนพื้นที่ให้กับหน้าจอหลักของเราอีกทีหนึ่งนะครับ หรืออีกอันหนึ่งที่เท่มากเหมือนกันนะครับ ก็คือลองสังเกตพื้นที่ตรงนี้นะ ทำให้ดูว่าแอปพลิเคชันอะไรก็ตามที่ต้องการ Face ID ปกติแล้วโลโก้ Face ID มันก็จะโผล่มาที่บริเวณกลางหน้าจอใช่ไหม ว่ากำลังสแกนอยู่หรือว่ากำลังมองหาใบหน้าของเราอยู่นะครับ พอมี Dynamic Island UI ตรงนี้เท่ขึ้นเยอะเลย อย่างเช่นสมมุติว่าผมมีโน้ตที่ผมล็อกเอาไว้นะครับ

แต่ว่าต้องปลดล็อกด้วย Face ID ลองดูนะ จะปลดล็อกด้วย Face ID มันจะขึ้นอย่างนี้ เท่ป่ะ ก็ปลดล็อกครับ มันเท่ดีคือผมว่านี่เป็นวิธีการคิดที่ฉลาดมาก และในอนาคตก็จะมี API ที่แอปพลิเคชันต่างๆ นักพัฒนาแอปอื่นๆ ที่ไม่ต้องมาจาก Apple เอง จะสามารถใช้พื้นที่ของ Dynamic Island ตรงนี้ได้อย่างสร้างสรรค์หลากหลายมากๆ โดยเฉพาะพวกแอปพลิเคชันที่ต้องการข้อมูลแบบเรียลไทม์ให้เราได้เห็นตลอดเวลา อย่างเช่นการบอกคะแนนการบอกสกอร์ของกีฬาต่างๆ อะไรพวกนี้ ถ้าเกิดสมมุติว่าตอนนี้มีแมตช์ไหนเตะอยู่ มีแมตช์ไหนเล่นอยู่ เราสามารถที่จะเห็นข้อมูลของคะแนนสดๆ ณ เวลานั้นได้ตลอดเวลา ไม่ว่าเราใช้แอปไหนอยู่ก็ตามนะครับ หรือยกตัวอย่างเช่นถ้าเราเรียกรถอย่างนี้ สมมุติเรียก Grab มาอีกกี่นาทีจะถึงไม่ต้องคอยแตะเข้าไปในแอปหลายๆ ครั้งนะครับ มันอาจจะโชว์บอกเราอยู่ตลอดก็ได้ว่าตอนนี้อีกกี่นาทีจะมาถึงเราแล้วนะครับ ตรงนี้มันเปิดความเป็นไปได้อีกหลายอย่าง ที่จะทำให้การใช้ iPhone มันสะดวกสบายในชีวิตเรามากขึ้นนั่นเองครับ อีก 1 ปัจจัยที่ทำให้ Dynamic Island ของ iPhone 14 Pro เนียนตามาก ก็คือ Apple ได้เคลือบสารกันสะท้อนให้กับเซ็นเซอร์และก็กล้องหน้า

มากเป็นพิเศษนะครับ ทำให้ตัวเราเองจะมองไม่ค่อยเห็นเลนส์กล้องด้วยตาเปล่าครับ แต่เห็นเป็นเหมือนจอสีดำธรรมดาทั่วไปเลย และการที่ Apple ยอมกลืนให้กล้องเป็นเหมือนส่วนหนึ่งของ Interface หน้าจอ และให้เราสามารถแตะมันได้บ่อยๆ ก็ต้องแลกมากับการที่หน้าเลนส์จะมีรอยนิ้วมือได้ง่ายนะครับ ต้องคอยเช็ดนิดหนึ่งก่อนที่เราจะหยิบมาถ่ายเซลฟี่ครับ กับอีกเรื่องหนึ่งที่เศร้ามากเลยนะครับ คือเวลาเราดูคอนเทนต์ดูหนังดูซีรีส์ ตัว Dynamic Island น่ะมันมาบังคอนเทนต์แบบนี้ครับ คือมันแหว่งแบบสัดส่วนไม่ค่อยสวยเลยนะครับ ถ้าเปิดเต็มจอแล้วแหว่งไปแค่พื้นที่ของ Dynamic Island ทั้งอัน ก็เข้าใจได้นะครับ แต่คลิปสัดส่วน 18:9 อย่างใน Netflix หรือว่า YouTube บางคลิป จะแหว่งแบบนี้เลยครับ หรือถ้าเกิดเราดู YouTube แบบแนวตั้ง ตัว Dynamic Island สีดำจะบังคอนเทนต์เยอะไปหน่อยนะครับ อันนี้ไม่แน่ใจว่าต้องรอให้ทาง YouTube อัปเดตแอปก่อนหรือเปล่าครับ ทีนี้ถัดจากความเท่ของเกาะ Dynamic หรือว่า Dynamic Island นะครับ เรามาดูเรื่องของหน้าจอบ้างนะครับ ที่มีการปรับปรุงใหม่เช่นเดียวกันนะครับ

ใน iPhone 14 Pro แล้วก็ iPhone 14 Pro Max นะครับ ถึงแม้ว่าขนาดเท่าเดิมนะ 6.1 นิ้วใน iPhone 14 Pro แล้วก็ 6.7 นิ้วในรุ่น iPhone 14 Pro Max นะครับ แล้วก็ความละเอียดเท่าเดิมด้วยนะครับ แต่ว่ารอบนี้มีการปรับปรุงความสว่างสูงสุดให้มากขึ้นนะครับ สู้แสงแดดจ้าๆ ได้มากขึ้นนะครับ จริงๆ แล้วพอ iPhone ไปอยู่กลางแดดได้ไม่นานหรอกครับ ตัวเครื่องก็จะค่อยๆ ลดความสว่างลงมาให้กับเรานะครับ ยังคงมีปัญหานี้อยู่ ดังนั้นใครที่เล่นเกมหนักๆ หรือว่าใช้กลางแจ้งกลางแดดบ่อยๆ ก็จะยังคงเจอปัญหาของการลดแสงหน้าจอลงมาอย่างแน่นอนแหละ ความสว่างสูงสุดอาจจะเหมาะไว้สำหรับดูคอนเทนต์ HDR แบบเต็มตาแบบสว่าง อยู่ในห้องแอร์อะไรแบบนี้มากกว่านะครับ แต่ส่วนหลักๆ เลยที่รอบนี้ปรับปรุงขึ้นมา ก็คือเรื่องของอัตราการรีเฟรชหน้าจอนะครับ ก่อนหน้านี้ iPhone รุ่น Pro จะมีสิ่งที่เรียกว่า ProMotion อยู่แล้วนะครับ

ก็คือตัว Refresh Rate ของหน้าจอสามารถดันขึ้นไปได้สูงสุดถึง 120Hz นะครับ รอบนี้เขาบอกว่า 120Hz ยังเป็นสูงสุดอยู่ แต่ว่าต่ำสุดของเขาสามารถลงมาได้เหลือแค่ 1Hz เท่านั้นนะครับ ทำให้มีฟีเจอร์หนึ่งเพิ่มเติมขึ้นมา ก็คือหน้าจอของ iPhone จะติดอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ได้นะครับ หรือว่า Always-On Display นะครับ ดูเผินๆ จริงๆ แล้วสว่างนะ คือดูเผินๆ เหมือนกับเราไม่ได้ปิดโทรศัพท์เหมือนไม่ได้ล็อกนะครับ แต่นี่คือปิดแล้วนี่คือกดปิดแล้วนะครับ ถ้าเกิดเรากดเปิดจะเป็นแบบนี้ ถ้าเกิดกดปิด อันนี้จะเป็นหน้าจอที่ติดอยู่ตลอดเวลานะครับ หรือว่า Always-On ซึ่งเขาทำ Always-On ได้เก่งมากนะครับ คือไม่ใช่แค่สักแต่ให้หน้าจอมันติดอ่ะ แบบเอาแค่รายละเอียดบางอย่างลดลงไปเหลือแค่นี้ แล้วก็ทำให้มันติดอยู่ตลอดเวลานะครับ แต่ว่ามีการคำนวณเกิดขึ้นด้วยนะครับ นั่นก็คือสมมุติว่าถ้าเกิดวอลเปเปอร์ของเราเป็นรูปคน ผมเปลี่ยนเป็นวอลเปเปอร์รูปคนให้ดูนะ สมมุติว่าวอลเปเปอร์เป็นรูปนี้นะครับ แล้วเรากดปิดดู อันนี้คือหน้าจอ Always-On ของเขาครับ Apple บอกว่าตัว Always-On ที่เป็นรูปคน เขาจะดรอปลงไปแต่ Skin Tone จะยังถูกต้องอยู่ นั่นก็คือเวลาเราดูหน้าจอ

แม้ว่าเราไม่ได้เปิด iPhone ไม่ได้แตะให้มันติดขึ้นมา มันจะยังสวยอยู่นะ คือเราอ่ะใช้รูปคนเป็นวอลเปเปอร์กันเยอะเลยใช่ป่ะ ดังนั้นสิ่งนี้สำคัญมากนะครับ อันนี้คือเรื่องแรกที่เขาคำนวณขึ้นมาครับ เรื่องที่ 2 เขาบอกว่าการที่หน้าจอมันติดอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ คือล็อกหน้าจอนะครับ การที่หน้าจอมันติดอยู่ตลอดเวลาแบบนี้ มันกินแบตเตอรี่แน่นอนทุกคนรู้อยู่แล้วนะครับ แล้วทำยังไงให้แบตเตอรี่ของ iPhone มันอยู่ได้ตลอดทั้งวันนะครับ ก็ต้องมีการประหยัดแบตเตอรี่มากขึ้นนะครับ ตัวนี้จะดรอปหน้าจอลงมาเหลือแค่ 1Hz เท่านั้น ก็คือ Refresh น้อยมาก ดังนั้นข้อมูลต่างๆ ที่โชว์อยู่ตรงนี้ ก็จะถูก Refresh ด้วยจำนวนครั้งที่อาจจะไม่ได้เรียลไทม์ เท่ากับการเปิดหน้าจอขึ้นมาแบบนี้นะครับ อันนี้คือเรื่องแรกที่ทำการประหยัดแบตเตอรี่นะครับ อย่างที่ 2 ก็คือแม้ว่าชื่อของเขาคือ Always-On ก็จริง แต่มันไม่ได้ติดอยู่ตลอดเวลาทุกสถานการณ์ครับ เขาจะทำยังไงก็ได้ให้เราอ่ะรู้สึกว่ามันติดอยู่ตลอด แต่จริงๆ มันไม่ได้ติดอยู่ตลอด อย่างเช่นตอนที่เราใส่โทรศัพท์เครื่องเข้าไปในกระเป่ากางเกงของเรา คือมันตรวจจับนะ มันรู้ว่าตอนนี้ iPhone อยู่ในกระเป๋ากางเกงไม่มีใครมองเห็นหรอก เขาก็จะแอบปิดไป คือเราจะไม่รู้ว่ามันแอบปิดไป แต่ว่าเพราะทุกครั้งที่เราเห็นมันเราจะเห็นว่ามันติดอยู่อย่างนี้นะครับ แต่จริงๆ แล้วหน้าจอมันจะปิดไปนะครับ หรือตอนที่เราคว่ำ iPhone อยู่กับพื้นโต๊ะแบบนี้ มันก็จะแอบปิดไปเหมือนกันเพราะว่ามันรู้แหละว่าไม่มีใครเห็นหรอก ขอแอบงีบแล้วกันขอแอบปิดไปนะครับ

แต่พอเราหยิบออกมา มันก็จะเหมือนกับติดอยู่ตลอดเวลาแบบนี้นะครับ ผมลองดูละผมลองแนบดูกับโต๊ะนะครับ แล้วก็ลองแง้มๆ ดู เอากล้องถ่ายให้คุณผู้ชมดูนะครับ มันแอบหลับไปจริงๆ เห็นป่ะว่ามันไม่ติด แต่พอทันทีที่เราหยิบออกมาปุ๊บ มันติดขึ้นมานะครับ ดังนั้นเขาแอบหลอกเรานิดหนึ่งว่า Always-On แต่จริงๆ แล้วมันจะแอบหลับไปบ้าง เพื่อที่จะประหยัดแบตเตอรี่ในหลายสถานการณ์ที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้นะครับ มีอีกหลายสถานการณ์เลยก็คืออย่างต่อ Apple CarPlay อย่างนี้ คือเราไม่ควรที่จะมาดูหน้าจอโทรศัพท์อยู่แล้วนะครับ พอตรวจจับว่ามันต่อกับ Apple CarPlay หน้าจอตัวนี้ก็จะดับไปแม้ว่าจะเปิด Always-On Display อยู่ก็ตามนะครับ มีหลายสถานการณ์ที่เขาคำนวณมาเผื่อเรื่องนี้ครับ ผมว่ามันก็เป็นฟีเจอร์ที่เท่ดีนะ แต่ถ้าเกิดใครไม่ชอบนะครับ ต้องการให้มันปิดสนิททั้งหมดเลยนะครับ ก็คือเป็นหน้าจอดำมืดเหมือนปกติ ฟีเจอร์นี้สามารถที่จะเข้าไปปิดได้ใน Setting ครับ อีกเรื่องหนึ่งที่สำคัญมากสำหรับคนที่จะซื้อโทรศัพท์รุ่นใหม่ ก็คือเรื่องของกล้องใช่ไหมครับ รอบนี้ iPhone 14 Pro นี้ถือว่ามีการปรับปรุงกล้องครั้งยิ่งใหญ่เลยนะครับ มีการเพิ่มความละเอียดของเซ็นเซอร์กล้องเข้าไป มีการขยายขนาดเซ็นเซอร์ของกล้องเข้าไปนะครับ ก่อนหน้านี้ใครที่ใช้โทรศัพท์ Android ก็จะมองว่า iPhone ยึดติดกับกล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซลจังเลย เรามองสเปกย้อนกลับไปนะครับ

IPhone นี้ใช้กล้องความละเอียด 12 ล้านพิกเซลมาอย่างยาวนานนะครับ เขาเชื่อถือในความละเอียด เขาบอกว่า 12 ล้านพิกเซลมันเยอะพอละ ที่เราถ่ายมาแล้วจะได้ความสวยงามได้รายละเอียด สามารถเอาไปซูมหรือว่าเอาไปแชร์ต่อนะครับ ในโซเชียลมีเดียมันได้ความคมชัดอยู่แล้วนะครับ ซึ่งคนที่ใช้ iPhone ก็จะรู้สึกว่าก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรนี่หว่ากับ 12 ล้านพิกเซล แต่ว่าถ้าเกิดเราไปมองสเปกของโทรศัพท์ Android หลายรุ่นในตลาด ในวันนี้บางรุ่นไปถึง 100 ล้านพิกเซลแล้วด้วยซ้ำไปนะครับ รอบนี้ Apple มีการขยับตัวใน iPhone 14 Pro แล้วก็ 14 Pro Max มีการขยายขนาดเซ็นเซอร์แล้วก็มีความละเอียดของกล้องหลักนะ ตัวเดียว 48 ล้านพิกเซลนะครับ ตัวอื่นยังเป็น 12 ล้านพิกเซลอยู่ครับ 48 ล้านพิกเซลเป็นยังไงนะครับ บอกว่าถ้าเกิดเราเปิดเข้าแอปกล้องนะครับ แล้วเรากดถ่ายมา ภาพที่ได้จะยังมีความละเอียด 12 ล้านพิกเซลอยู่นะครับ แต่ว่าเซ็นเซอร์จริงๆ 48 ล้านพิกเซลครับ เขาใช้เทคนิคที่เรียกว่า Quad‑pixel นะครับ Quad‑pixel ตรงตามชื่อของเขาเลย

Quad ก็คือ 4 เป็นการรวม 4 พิกเซลออกมาให้กลายเป็น 1 พิกเซลนะครับ เทคนิคนี้ถูกใช้ในสมาร์ทโฟนหลากหลายรุ่น ถูกใช้ในกล้องใหญ่ๆ บางตัวเหมือนกันนะครับ เพื่อที่จะทำให้การเก็บแสงของภาพเก็บรายละเอียดของภาพ มันดียิ่งขึ้นนะครับ ก็คือเซ็นเซอร์จริงๆ อ่ะมันเก็บได้เยอะมากมันเก็บได้ 48 ล้านพิกเซล แต่ว่าเรารวมเอา 4 พิกเซลเหลือพิกเซลเดียว เพราะฉะนั้นภาพที่ถ่ายออกมามันก็เลยเหลือ 12 ล้านพิกเซลนะครับ เทคนิคนี้ก็จะช่วยให้ iPhone 14 Pro และก็ iPhone 14 Pro Max ถ้าเกิดถ่ายจากกล้องหลักก็คือที่ระยะซูม 10x จะได้รายละเอียดที่คมชัดมากๆ นะครับ แล้วก็จะดียิ่งขึ้นถ้าเกิดเราถ่ายในที่แสงน้อยนะครับ ดังนั้นถามว่าภาพที่ถ่ายมาจาก iPhone 14 Pro และก็ iPhone 14 Pro Max มีความละเอียดเยอะขึ้นหรือเปล่า ก็อาจจะต้องบอกว่าเราจะได้ภาพ 12 ล้านพิกเซลเท่าเดิมนั่นแหละครับ ยกเว้นเราจะถ่ายด้วยโหมด ProRAW หรือว่าถ่ายออกมาเป็นไฟล์ RAW ถึงจะมีตัวเลือก

ว่าให้มันไม่ต้องใช้เทคนิค Quad‑pixel เลยจะได้ภาพ 48 ล้านพิกเซลออกมา แต่สำหรับคนทั่วๆ ไปที่คว้ามือถือขึ้นมาแล้วก็ถ่ายได้ทันทีนะครับ เราจะยังได้ตัวภาพความละเอียด 12 ล้านพิกเซลอยู่ แต่เป็น 12 ล้านพิกเซลที่ดีกว่าเดิมมากๆ นะครับ เดี๋ยวผมพาไปดู ว่าภาพที่ถ่ายออกมาจาก iPhone 14 Pro และก็ iPhone 14 Pro Max เป็นยังไงกันบ้าง ทีนี้มาดูตัวอย่างรูปที่ท้าทายมากขึ้นในที่แสงน้อยครับ จริงๆ iPhone มี Night Mode ในรุ่นก่อนหน้านี้อยู่แล้วนะครับ หลักการก็คือพอตัวกล้องจับได้ว่าแสงน้อย มันก็จะเปิด Speed Shutter นานขึ้นนะครับ เราเองก็ต้องคอยถือกล้องให้นิ่งๆ ไว้สัก 1-2 หรือ 3 วินาทีอะไรก็ว่าไปใช่ไหมครับ แต่พอมา iPhone 14 Pro ที่เซ็นเซอร์มันใหญ่ขึ้น รูรับแสงกว้างขึ้น เก็บแสงได้มากขึ้นก็เลยเกิดเหตุการณ์แบบนี้ได้ครับ

ก็คือใน iPhone 13 Pro เขาเข้า Night Mode ไปแล้วเห็นไหมครับ แต่ว่าใน iPhone 14 Pro ยังเอาอยู่ด้วยกันถ่ายปกติครับ ส่วนภาพถ่ายที่ได้จากการถ่ายในที่แสงน้อยก็ดีขึ้นแบบสัมผัสได้นะครับ รายละเอียดครบมากขึ้น Dynamic ในที่มืดแสงเงาชัดเจนขึ้น อาจจะไม่ได้ถึงกับร้องโอ้โหหรือว่าสวยแบบตะโกนอะไรนะครับ แต่ว่าใช้งานจริงโอเคเลยภาพ ที่ได้สามารถเอาไปใช้งานได้อยู่ครับ ส่วนกล้องหน้าในที่แสงน้อยคือลาก่อนนะครับ ยังไม่ไหวเหมือนเดิม กล้องหน้าจะดีได้จะต้องแสงเยอะหน่อยแบบนี้ครับ อีกประโยชน์หนึ่งของความละเอียด 48 ล้านพิกเซลของกล้องหลักใน iPhone 14 Pro ก็คือมันสามารถทำอะไรแบบนี้ได้นะครับ ผมขออนุญาตเอา iPhone 13 Pro Max ขึ้นมาให้ดูก่อนนะครับ iPhone 13 Pro Max กล้องหลังมันมี 3 ตัวถูกป่ะ เวลาเราเข้าโหมดถ่ายรูปอ่ะ มันจะมีระยะ Optical ให้เราเลือกทั้งหมด 3 ระยะด้วยกันใช่ไหมครับ

จากกล้อง 3 ตัวก็คือเลนส์ระยะ 1x กล้องหลักระยะ Tele ก็คือจะซูม 3 เท่าเลยนะครับ แล้วก็ระยะ Ultra Wide เป็น 0.5 นี้ เพราะนี่คือการซูม Optical มันคือการเปลี่ยนกล้องตัวหนึ่งมาอีกตัวหนึ่งจริงๆ เลยใช่ไหมครับ ทีนี้มาดู iPhone 14 Pro Max กันบ้างนะครับ ด้วยความที่กล้องหลักของเขาความละเอียด 48 ล้านพิกเซลนะครับ เขาเลยสามารถเพิ่มอีก 1 ระยะเข้ามา ก็คือเพิ่มระยะ 2x มันคือการใช้กล้องหลักที่ระยะ 1x มาครอปเอาเฉพาะส่วนตรงกลางมา ด้วยความที่กล้องหลักความละเอียดสูงถึง 48 ล้านพิกเซล ดังนั้นการที่เราครอปเฉพาะตรงกลางมา มันยังได้ความละเอียด 12 ล้านพิกเซลอยู่ อันนี้เป็นอีกหนึ่งประโยชน์จากการที่มันมีเซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ถึง 48 พิกเซล ดังนั้นใครที่รู้สึกหงุดหงิดกับ iPhone รุ่นก่อนหน้าที่มันมีซูม 1ป แล้วก็ซูมอีกที 3x ไปเลยอ่ะ มันไกลเกินไปมันไม่มีอะไรระหว่างทางนะครับ

อยากได้ระยะ 2 เท่า ใน iPhone 14 Pro กับ iPhone 14 Pro Max ระยะ 2 กลับมาแล้วแบบชัดแจ๋วเลยด้วย ที่เขาปรับปรุงเรื่องกล้องไม่ได้ปรับปรุงแค่กล้องหลัง 48 ล้านพิกเซลอย่างเดียวนะครับ แต่ว่ากล้อง Ultra Wide ได้เซ็นเซอร์ขนาดใหญ่ขึ้น แล้วก็สามารถเก็บแสงได้เยอะขึ้นด้วยนะครับ ทำให้เราสามารถถ่ายภาพระยะ Ultra Wide ได้สวยงามคมชัดมากขึ้น และอีก 1 อานิสงส์ที่ได้มานะครับ ก็คือเราสามารถที่จะถ่ายภาพ Macro ได้คมชัดมากขึ้นกว่ารุ่นเดิมด้วยครับ ดูรูปนี้สิ คือมันมีขนๆ อยู่ที่ใบ ซูมดูนี่คือเห็นทุกรายละเอียดเลย อีก 1 ลูกเล่นใหม่ที่เพิ่งมาเพิ่มเติมก็คือใน Portrait Mode นะครับ ก่อนหน้านี้เราอาจจะเรียกชื่อโหมด Portrait เป็นชื่อไทยเล่นๆ ว่าหน้าชัดหลังเบลอใช่ป่ะ แต่ว่ารอบนี้มีสิ่งที่เพิ่มเติมขึ้นมาก็คือเป็น Foreground blur หรือถ้าเกิดแปลไทยก็น่าจะเป็นหน้าเบลอหลังชัดอะไรประมาณนี้นะครับ นั่นก็คือเขาสามารถทำให้สิ่งที่บังอยู่ด้านหน้าฉาก หรือว่าสิ่งที่ใกล้กล้องมากกว่า มันเบลอแล้วก็ตัวแบบของเราชัดเจนก็ได้อีกเอฟเฟกต์หนึ่งที่น่าสนใจนะครับ อย่างเช่นรูปนี้ผมถ่ายมาต้นไม้บังอยู่ด้านหน้า

เห็นไหมว่าต้นไม้เบลอเป็นเอฟเฟกต์เหมือนกับเราใช้กล้องใหญ่ ที่แบบเป็นเลนส์ F กว้างๆ หรือว่า Depth ตื้นๆ นะครับ ถ่ายมาได้เอฟเฟกต์ที่สวยงามแบบนี้เลยนะครับ ตอนกลางคืนแสงน้อยหน่อยก็ยังเวิร์กได้เหมือนกันนะครับ รูปนี้ผมลองให้ซู่ชิงยื่นมือมาข้างหน้านะครับ ก็เห็นเลยว่าส่วนมือก็เบลอละลายไปเหมือนกับเราใช้กล้องใหญ่ถ่ายมาเลยครับ ฟีเจอร์นี้ไม่ได้ Exclusive ให้เฉพาะ iPhone 14 ด้วยนะครับ เพราะว่าหลังจากที่เราอัปเดต iOS 16 แล้ว ใครที่ถือ iPhone 13 อยู่จะสามารถทำเอฟเฟกต์นี้ได้เช่นเดียวกันครับ ทีนี้การที่กล้องมันดีขึ้นน่ะ มันไม่ได้ภาพที่ดีขึ้นแค่ภาพนิ่ง คุณภาพของไฟล์วิดีโอก็ดีขึ้นตามคุณภาพของกล้องเช่นเดียวกันนะครับ การถ่ายวิดีโอด้วย iPhone 14 Pro นี้ก็มีคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างสังเกตได้นะครับ แต่อย่างหนึ่งที่อยากพูดถึงมากอยากรีวิวให้ดูมากเลย ก็คือมันมีโหมดใหม่ ที่ Exclusive ให้เฉพาะ iPhone 14 Pro กับ iPhone 14 Pro Max เท่านั้น ณ เวลานี้ นั่นก็คือถ้าเกิดเรากดเข้าสู่โหมดการถ่ายวิดีโอนะครับ มันจะมีปุ่มเพิ่มเติมขึ้นมาแหละ ก็คือปุ่มนี้ เห้นไหมที่เป็นรูปคนวิ่ง เราสามารถที่จะแตะเปิดโหมดนี้ได้ครับ

อันนี้เรียกว่า Action Mode Action Mode คำว่า Action มันมาจากกล้อง Action Cam เลยนะครับ ก็คือพวกกล้อง GoPro ที่เราอาจจะรู้จักกันนี่แหละ ตอนนี้มันมีโหมดที่สามารถทำให้เจ้า iPhone 14 Pro กับ 14 Pro Max จำลองการเป็นกล้อง Action ได้นะครับ กล้อง Action มันก็คือจะต้องรองรับการสั่นสะเทือน เวลาที่เราอาจจะต้องถือถ่าย Handheld วิ่งไปตามของเร็วๆ หรือว่าเล่นกีฬา Extreme ไปติดอยู่กับจักรยานวิบากอะไรพวกนี้นะครับ ระบบกันสั่นของกล้องเลนส์ปกติมันเอาไม่อยู่ครับ มันจะต้องใช้ซอฟต์แวร์มาช่วยนะครับ ตรงนี้สามารถอนุญาตให้ทำได้นะครับ เดี๋ยวผมจะลองทำให้ดูก่อนนะครับ แล้วเดี๋ยวจะมาเล่าให้ฟังว่าหลักการการทำงานเป็นยังไงนะครับ ผมจะวิ่งไปตามเส้นทางนี้โดยการเปิดโหมด Action เอาไว้นะครับ ถือ iPhone มือเปล่าๆ แบบนี้ แล้วก็วิ่งแบบไม่ต้องแคร์เลยว่าเราจะต้องถือให้มันนิ่งแค่ไหนนะครับ เดี๋ยวลองดูครับ เริ่ม ไป สะเทือนกันเบอร์นี้ โอเค มาดูกันว่าฟุตเทจที่ได้ มันออกมาเป็นอย่างนี้ บ้าไปแล้ว

นี่มันไม่ใช่มือถือถ่ายเปล่าๆ แล้วนะ คืออยากกับอยู่บน Gimbal ดูความลื่นไหลสิ ถ้าเกิดปกติเราอยู่ในโหมดการถ่ายวิดีโอ อยู่กล้อง 1x ดูนะอยู่ อยู่กล้อง 1x นะ ถ้าเกิดเราเข้าสู่โหมด Action ครับ มันจะสลับไปที่กล้อง 0.5 มันจะใช้เลนส์ Ultra Wide ในการที่จะถ่าย แต่ได้มุมมองเดียวกันกับกล้อง 1x นะครับ นั่นก็คือมันใช้มุมมองกว้างไว้ก่อน แล้วก็เวลาที่ภาพเราสะเทือนอ่ะ มันเอาเฉพาะตรงกลางมาเอาเฉพาะ 1x มา แล้วก็ใช้ซอฟต์แวร์พยายามล็อกให้ภาพตรงกลางมันนิ่งที่สุดนะครับ อันนี้คือหลักการของเขาของ Action Mode ดังนั้นเวลาที่ถ่ายออกมามันก็จะได้ความนิ่งของซอฟต์แวร์ คือซอฟต์แวร์จะพยายามล็อกเฟรมให้มันนิ่งๆ ไว้ตรงกลาง ให้เรายังเห็นความลื่นไหลอยู่นะครับ สิ่งที่เราจะสูญเสียไปนะครับ นั่นก็คือเราไม่สามารถที่จะได้มุมมองกว้างไปกว่านี้ล่ะ คือกว้างที่สุดในโหมด Action จะประมาณ 1x นะครับ แต่ว่ากล้องจะโชว์ว่าเราใช้เลนส์ 0.5 อยู่นะครับ กับอย่างที่ 2 คือเราจะไม่ได้ความละเอียดสูงสุดที่เซ็นเซอร์ทำได้ เพราะว่าเราใช้ Ultra Wide และถูกครอปลงมา

ดังนั้นความละเอียดสูงสุดของวิดีโอในโหมด Action จะไม่ใช่ 4K แต่ว่าจะเป็น 2.8K ถ้าเกิดลองมาดู นี่คือสูงสุดละที่เราทำได้นะครับ มีให้เลือกว่าจะเอา Full HD หรือจะเอา 2.8K จะไม่มี 4K ให้เลือก เพราะความละเอียดจะถูกดรอปลงมาเล็กน้อยนะครับ ภาพมันถูกครอปเข้ามานะครับ อันนี้คือหลักการคร่าวๆ ของเขาเท่านั้นเอง แต่ในโหมด Action เราสามารถที่จะเลือกใช้เลนส์ระยะอื่นได้ด้วย คืออาจจะไม่ต้องใช้กว้างเท่านี้ก็ได้ อยากจะใช้แคบลงมาหน่อยก็ยังได้นะครับ โดยที่ยังได้ความสามารถของความเป็น Action Mode อยู่นะ คือต่อให้ซูมเข้ามาเท่านี้ มันก็ยังมีความสะเทือนหรือว่าความลื่นไหลต่างๆ จะได้ใกล้เคียงกันกับที่ผมทำให้ดูเมื่อกี้นี้ครับ นอกจากนี้ก็ยังมีการปรับปรุง เหนื่อยนะเว้ยวิ่งกี่รอบ ยังมีการปรับปรุงว่าในโหมด Cinematic โหมดที่หลายคนชื่นชอบใน iPhone 13 Pro ปีที่แล้ว คือแล้วก็บอกว่าทำไมมันถ่ายได้แค่ Full HD นะครับ รอบนี้ iPhone 14 Pro สามารถถ่าย Cinematic mode ได้

ที่ความละเอียด 4K แล้วในที่สุดนะครับ จริงๆ ปีที่แล้วเขากั๊กแหละ คือน่าจะทำได้ตั้งแต่ปีที่แล้วแล้วนะ รุ่นนี้ทำได้แล้วนะครับ สิ่งหนึ่งที่ผมอยากรู้มากกับกล้อง iPhone 14 Pro รอบนี้ ก็คือเอฟเฟกต์แสงแฟลร์สีเขียวๆ ที่มักจะโผล่เข้ามาในภาพของกล้อง iPhone มาหลากหลายรุ่น ถูกแก้ปัญหาแล้วหรือยังนะครับ ก็ต้องขอแสดงความเสียใจว่ากล้อง iPhone 14 Pro ในหลายสถานการณ์ เราก็จะยังเห็นแสงแฟลร์เขียวๆ นี้อยู่นะครับ เมื่อไหร่จะแก้ได้สักที Apple นอกจากนี้ใน iPhone 14 Apple ยังได้เพิ่มเซ็นเซอร์ใหม่เข้ามาด้วยนะครับ ทำให้มันมีฟีเจอร์ Crash Detection เหมือนกับในนาฬิกา Apple Watch series 8 เลย นั่นก็คือมันสามารถตรวจสอบได้ ว่ารถยนต์ที่เราขับอยู่หรือว่านั่งโดยสารอยู่เกิดอุบัติเหตุ อย่างเช่นชนหรือว่ารถคว่ำหรือเปล่านะครับ เพื่อที่มันจะได้สามารถทำการติดต่อเพื่อขอความช่วยเหลือฉุกเฉินให้กับเราได้ และนี่จะเป็นฟีเจอร์สุดท้ายที่เราจะไปทดสอบกันครับ ผมกดเรียกอูเบอร์มาแล้วเราไปทดสอบกันเลยดีกว่า บ้าหรอ มันทดสอบไม่ได้ฟีเจอร์นี้ Apple บอกใน Keynote เลยว่าเขาไม่คิดว่าจะมีใครได้ใช้ฟีเจอร์นี้เลยนะครับ แต่ถ้าเกิดมันสุดวิสัยจริงๆ จะได้ใช้ก็น่าจะเป็นฟีเจอร์ที่ช่วยชีวิตได้นะครับ อย่าทดสอบเองนะ

คือฟีเจอร์นี้มีไว้ใช้ยามฉุกเฉินเท่านั้นจริงๆ นะครับ มันเหมือนกับว่าเอารถมา Test drive แล้วบอกว่าเดี๋ยวผมจะไปทดสอบถุงลมนิรภัยกันนะครับ ว่าชนแล้ว Airbag มันจะเซฟ ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ ฟีเจอร์นี้เราทดสอบไม่ได้ ทีนี้ iPhone 14 Pro, iPhone 14 Pro Max เราควรที่จะเปลี่ยนมาใช้กันหรือเปล่า ผมลองใช้แล้วผมชอบไหมแล้วก็เปลี่ยนมาคุ้มหรือเปล่านะครับ ต้องเล่าให้เขาอย่างนี้แหละว่าถ้าใครดูมาถึงตรงนี้ก็คืออยากได้ใช่ป่ะ คือเราก็เลยได้ดูข้อมูลได้แบบหาข้อมูลมาเรื่อยๆ จนมาถึงวินาทีนี้นาทีนี้ที่มาดูนะครับ ก็ต้องบอกว่าถ้าอยากได้ก็ต้องซื้อแหละครับ แต่ว่า iPhone 14 Pro และก็ iPhone 14 Pro Max รอบนี้มันมีความพิเศษนิดหนึ่งครับ ในเรื่องของราคานะครับ คือเขาไม่ได้เพิ่มฟีเจอร์ต่างๆ มามากมายอย่างเดียวแล้วก็เพิ่มราคาด้วยนะครับ แล้วก็เพิ่มราคาในประเทศไทยเป็นอย่างยิ่งนะครับ เพราะว่าจริงๆ แล้วราคาเปิดตัวที่สหรัฐที่เป็นราคา US Dollar เขาเปิดราคาเริ่มต้นเท่าเดิมนะครับ แต่ว่าค่าเงินที่เปรียบเทียบกันระหว่างค่าเงิน US กับค่าเงินบาท มันต่างจากปีที่แล้วเยอะมากเลย

ปีที่แล้ว ณ วันนี้เปิดตัว iPhone น่ะอยู่ที่ประมาณดอลลาร์หนึ่งประมาณ 33 บาทกว่าๆ วันนี้ที่เราเล่าให้ฟังกันมัน 37 บาทกว่าๆ เข้าไปแล้วนะครับ ดังนั้นก็เลยส่งผลให้ iPhone รุ่น Pro มันแพงกว่าปีที่แล้ว ในราคาเปิดตัวร่วมประมาณ 3,000 บาทต่อ 1 รุ่นนะครับ บางรุ่นอาจจะ 2,000 ก็ตามนะครับ แต่ก็แพงขึ้นมาไม่น้อยนะครับ แล้วก็ทำให้ราคาเริ่มต้นเอาเป็นว่าแค่รุ่น Pro ไม่ใช่ Pro Max รุ่นจอเล็ก 6.1 นิ้ว 128GB เองนะ ซึ่งตัวเริ่มต้นเลยอ่ะมันทะลุ 4 หมื่นนะครับ 41,900 บาทนะครับ ยิ่งใครอยากใช้ Pro Max มันเริ่มต้นเข้าไป 45,000 เข้าไปแล้วนะครับ ถ้าเกิดใครอยากได้ความจุ 256GB หรือ 512GB อาจจะต้องจ่ายร่วม 50,000 บาทครับ นี่เป็นตัวเลขที่ไม่น้อยแหละ

แล้วก็บางคนก็เพิ่งจ่ายราคาใกล้เคียงกันไปกับ iPhone 13 Pro Max ปีที่แล้วเองอ่ะนะครับ เปลี่ยนเยอะก็จริงแต่ว่าดูการใช้งานของเราด้วยนะครับ นี่ไม่ใช่จำนวนเงินที่น้อยๆ สักเท่าไหร่นะครับ อาจจะต้องคิดทบทวนเพิ่มเติมนิดหนึ่ง รู้แหละว่าดูมาถึงตรงนี้อยากได้แล้วแหละนะครับ แต่ว่าต้องไม่ลืมว่าเราจ่ายแพงกว่าประเทศอื่นพอสมควรเหมือนกัน ในเรื่องของค่าเงินนะครับ ดังนั้นก็อยากให้พิจารณาการใช้งานของเราให้ดีๆ ครับ ส่วนว่าผมแนะนำไหมนะครับ ผมใช้แล้วผมชอบเอางี้ดีกว่า โดยเฉพาะในเรื่องของ Dynamic Island ที่มันคิดมาดีอ่ะ คือคิดว่าฉลาดนะครับ แล้วผมเชื่อว่าจะทำให้คนใช้ iPhone แฮปปี้อย่างมากนะครับ ที่เราจะได้ Interface เท่ๆ แบบนี้เพิ่มเติม รวมถึงทำให้การใช้งานของเรามันลื่นไหลเพิ่มเติมได้ในอนาคตด้วยนั่นเองครับ นอกจากราคาค่าตัวของ iPhone จะแพงขึ้นด้วยค่าเงินแล้วนะครับ อุปกรณ์เสริมของ Apple เองก็ตบเท้าขยับราคาแพงขึ้นเช่นเดียวกันครับ ทั้ง Adapter สายชาร์จสาย MagSafe เคสแบบต่างๆ ขยับราคาสูงขึ้นกันทั้งหมดเลย รอบนี้ใครสนใจจะซื้อจริงๆ อาจจะต้องเตรียมเงินมากขึ้นสักเล็กน้อยนะครับ ส่วนคำถามว่าเคสรุ่นก่อนหน้าใครมี 12 หรือ 13 Pro จะเอามาใช้กับ 14 Pro ได้ไหม ก็ต้องบอกเลยว่าไม่ได้อย่างแน่นอนนะครับ ชุดกล้องมันใหญ่ขึ้นกว่ารุ่นเดิมอยู่พอสมควรครับ

IPhone 14 iPhone 14 Pro และ iPhone 14 Pro Max วางขายในไทยวันศุกร์นี้แล้วนะครับ ก็คือวันศุกร์ที่ 16 กันยายนนั่นเองนะครับ นี่เป็นครั้งแรกที่ประเทศไทยได้ขาย iPhone เป็น Tier 1 หรือว่าพร้อมๆ กันกับประเทศหลายๆ ประเทศทั่วโลกนะครับ ก็คือพร้อมสหรัฐอเมริกาพร้อมญี่ปุ่นพร้อมสิงคโปร์ พร้อมประเทศยุโรปหลายประเทศเลยนะครับ นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกจริงๆ ที่เรามาอยู่ Tier 1 นะครับ ก็ถือว่าเป็นการเปิดโอกาสให้เราได้เป็นเจ้าของ iPhone ได้เร็วมากขึ้น โดยที่ไม่ต้องไปพึ่งพาเครื่องหิ้วจากฮ่องกง หรือว่าจากร้านหิ้วที่อาจจะอยู่ตามร้านค้าหรือว่าตามห้างต่างๆ นั่นเองนะครับ ก็ถือว่าเป็นข่าวดีของเมืองไทยนะครับ ว่า Apple เห็นตลาดประเทศไทยสำคัญมากขึ้น และในอนาคตก็น่าจะมี Product ที่เหมือนกับทำมา Service ต่างๆ ที่ทำมาเพื่อลูกค้าชาวไทยมากขึ้น ยังมีอีกหลาย Product หรือว่าหลาย Service เหมือนกัน ที่ยังไม่ได้มาถึงประเทศไทยนะครับ HomePod ก็หลายคนรออยู่นะครับ

Apple Pay ที่มีข่าวลืออยู่เรื่อยๆ เหมือนกันนะครับ ก็หวังเป็นอย่างยิ่งว่าน่าจะเปิดตัว Service ต่างๆ เหล่านี้ในไทยได้เร็วๆ นี้นั่นเอง ซื้อ iPhone 14 ดีลดีที่สุดต้องที่ AIS โปรโมชั่นดี ราคาดี เครือข่ายดี ครอบคลุมทั่วไทย รับสิทธิ์ผ่อน 0% นานสูงสุด 40 เดือน หรือรับเครดิตเงินคืนสูงสุด 56% เมื่อผ่อน 0% นาน 10 เดือน เพิ่มความอุ่นใจด้วยบริการเสริม AIS Care Plus สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมและสั่งซื้อได้ที่ www.ais.th/ iphone และทั้งหมดนี้ก็คือรีวิวของ iPhone 14 Pro และก็ iPhone 14 Pro Max นั่นเองครับ ผมอู๋ Spin9 ครับ พบกันใหม่คลิปหน้า สวัสดีครับ