in

ศก.Q2 พุ่งแรง 7.5% ช่วยปีนี้ไม่ติดลบ ‘เจ้าสัวซีพี-ผู้ว่าธปท.’ชี้ทางรอดปท.

สศช.ปรับลดเป้าหมายเศรษฐกิจปี 64 เหลือ 0.7-1.2% หลังไตรมาส 2 โต 7.5% ครั้งแรกในรอบ 6 เดือน DP สู่ศักยภาพที่ใกล้เคียง “ธนินท์ เจียรวนนท์” ให้มุมมอง โควิด และทางออกของไทย ยก 4 ประเด็น ที่ต้องทำพร้อมๆ กัน ปักธง-ป้องกัน-รักษา-อนาคต ศบค.ขยายล็อกดาวน์เป็น 29 จังหวัดจนถึง 31 ส.ค. หุ้นเด้งจาก -16 จุด ปิดที่ 2.92 จุด ต่างชาติซื้อ 1,433.42 ลบ.

นางอนุชา พิชยานันท์ เลขาธิการสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ หรือ สศช. กล่าวว่าเศรษฐกิจไทยในปี 2564 มีแนวโน้มขยายตัวอยู่ในช่วง 0.7-1.2% ฟื้นตัวช้าจากการลดลง 6.1% ในปี 2563 ค่ามัธยฐานคือ 1% ลดลงจากที่คาดการณ์ไว้ก่อนหน้านี้ที่ขยายตัว 1.5-2.5% โดยสันนิษฐานว่าโรคระบาดในประเทศจะผ่านจุดสูงสุดในช่วงปลายเดือนสิงหาคม และสามารถผ่อนคลายมาตรการควบคุมในหลายพื้นที่ ในขณะที่การแพร่ระบาดในต่างประเทศไม่รุนแรงขึ้น

เศรษฐกิจในไตรมาส 2/64 ขยายตัว 7.5% ดีขึ้นจากที่ลดลง 2.6% ในไตรมาสแรก และเป็นผลตอบแทนครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการเติบโตของฐานที่ต่ำผิดปกติในปีนี้ ก่อน หลังจากปรับผลของฤดูกาลแล้ว ไตรมาสที่สองขยายตัว 0.4% จากไตรมาสแรก และครึ่งแรกของปี 2564 เติบโต 2.0%

“เศรษฐกิจไทยยังไม่เข้าสู่ภาวะถดถอย แต่มีโมเมนตัมที่จะขยายตัวลดลง จากการแพร่ระบาด จึงไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจเหมือนครั้งก่อน” เลขาธิการ สศช. กล่าว

สำหรับการบริหารนโยบายเศรษฐกิจในช่วงที่เหลือของปี 2564 นายอนุชากล่าวว่าควรให้ความสำคัญ 7 เรื่อง เช่น 1. การควบคุมการแพร่ระบาดในระยะที่จำกัด 2. ช่วยเหลือเยียวยาประชาชน แรงงาน และภาคธุรกิจ 3. ขับเคลื่อนการส่งออกสินค้า 4. รักษาบรรยากาศทางการเมืองและเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ

นายเศรษฐพุทธบุตร สุทธิวัฒนฤพุฒ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวถึงการสร้างแนวทางแก้ไขวิกฤตการณ์ไทย” ว่ามาตรการทางการคลังจะมีบทบาทสำคัญและจำเป็นต่อการสนับสนุนเศรษฐกิจ แต่ทุนรัฐบาลปัจจุบันไม่เพียงพอ จึงต้องเพิ่มแรงกระตุ้น ในขั้นต้นเงินที่เพิ่มเข้าระบบควรอย่างน้อย 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 7% ของ GDP เพื่อให้เศรษฐกิจเติบโตใกล้ศักยภาพได้เร็วขึ้น แม้ว่าหนี้สาธารณะจะสูงสุดที่ประมาณ 70% ของ GDP ในปี 2567 แต่ก็จะลดลงค่อนข้างเร็วเนื่องจากการขยายตัวทางเศรษฐกิจและความสามารถของรัฐบาลในการรวบรวมรายได้อย่างรวดเร็วเพื่อฟื้นตัว และพบว่าอัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP ในอีก 10 ปีข้างหน้า (ปี 2574) จะต่ำกว่าหากรัฐบาลไม่กู้ยืมเงินมากกว่าร้อยละ 5 หากรัฐบาลไม่เร่งเศรษฐกิจให้มากขึ้นในสถานการณ์ที่สูง ความไม่แน่นอน เพื่อป้องกันวิกฤตที่ยืดเยื้อ อัตราส่วนหนี้สาธารณะต่อ GDP แม้จะเติบโตช้าแต่จากการประมาณการ คาดว่าทรงตัวในระดับสูงและอาจไม่ลดลงมากนักในระยะยาว

ธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานกรรมการอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (CP) ให้สัมภาษณ์ในหัวข้อ “มุมมองของธนินท์ เจียรวนนท์ โควิด กับการออกจากประเทศไทย” ว่านี่คือจุดเปลี่ยน ชุมทางประเทศไทย วิกฤตโควิดก็เหมือนสงครามโลกครั้งที่ 3 (โรค) เพราะทุกประเทศในโลกได้รับผลกระทบ แต่ถ้าประเทศไหนปรับตัวได้ก็ก้าวกระโดด แต่ถ้าไทยขาดนโยบายที่พร้อมและหากการเปลี่ยนแปลงไม่เร็วพอก็จะตามหลังประเทศเพื่อนบ้านยก 4 ประเด็นที่ต้องเน้นคือ 1.ปักธง 2.การป้องกัน 3. การอนุรักษ์ 4. อนาคต
ประเด็นแรกเกี่ยวกับ “ปากท้อง” ในสถานการณ์ปัจจุบัน คนลำบากมามากโดยเฉพาะคนรายได้น้อยในเมืองและคนมีภาระเมื่อเจอวิกฤติที่ต้องกักตัวไปทำงานไม่ได้จะทำให้ลำบากมาก เรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ รัฐบาลต้องมีมาตรการดูแล ส่วนภาคเอกชน ทำได้เพียงช่วยแบ่งเบาภาระ
จุดที่สอง “การป้องกัน” โดยวัคซีน ยิ่งสามารถครอบคลุมวัคซีนได้เร็ว จะช่วยลดแรงกระแทกได้มากเท่าอังกฤษเท่านั้นถึงจะอัดฉีดได้มาก กลับมาเปิดประเทศต่อให้ติดเชื้อเพิ่มก็ไม่ตาย มันไม่เจ็บ จะทำให้ประเทศเดินต่อไปได้ ซึ่งต้องตั้งเป้าฉีดให้ครบ 100% โดยนำเข้าวัคซีนทุกยี่ห้อ ยิ่งมีทางเลือกมาก ประชาชนยิ่งมั่นใจและได้รับวัคซีนเร็วขึ้น
จุดที่สามคือ “การรักษา” ต้องเร็ว แม้ว่า 90% ของผู้ป่วยจะรักษาได้ด้วยการดูแลตัวเอง แต่เนื่องจากผู้ป่วยจำนวนมากต้องอยู่บ้านเพื่อแยกกันอยู่ที่บ้าน พวกเขายังต้องทำงานร่วมกับแพทย์ทางไกลและจำเป็นต้องเข้าถึงยาโดยเร็ว อย่ารอให้ผู้ป่วยมีอาการรุนแรง และควรกระจายยาอย่างรวดเร็ว ลดขั้นตอน ยุคนี้ต้องเร็วและมีคุณภาพ

และจุดที่สี่คือ “อนาคต” ที่ประเทศไทยมีความเสี่ยงต่อภาวะถดถอยหากรัฐบาลไม่มีมาตรการรองรับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ปัจจุบันธุรกิจขนาดเล็ก ขนาดเล็ก ขนาดกลางและขนาดใหญ่ได้รับผลกระทบทั้งหมด และหากต้องตายหลังวิกฤต จำนวนบริษัทที่จะจ่ายภาษีให้ประเทศก็จะน้อยลง และเครื่องจักรเศรษฐกิจ เช่น การท่องเที่ยวและการส่งออก ฟื้นตัวช้าหากปิดกิจการ

ดังนั้นธุรกิจทุกระดับจึงต้องมีความมั่นคงและปรับตัวให้เข้ากับธุรกิจในอนาคต โดยเฉพาะใน Business 4.0 และที่สำคัญต้องเตรียมพร้อมสำหรับผู้คน และประเทศไทยต้องก้าวไปสู่ธุรกิจไฮเทค แต่ตกอยู่ที่คน ประชาชนพร้อมหรือไม่ รัฐบาล บอกแต่เคลื่อนไหวช้า รัฐบาลต้องออกไปชวนลงทุนสร้างงานในไทย ดึงดูดนักลงทุนให้ลงทุนในอุตสาหกรรมใหม่ในประเทศไทย ไม่ใช่ประเทศเพื่อนบ้าน
“ในช่วงเวลาที่มืดมนที่สุด เราต้องคิดว่าเมื่อมันสว่าง แล้วประเทศจะเป็นอย่างไร? ดังนั้นต้องทำทั้ง 4 เรื่องนี้พร้อมกัน ในยามวิกฤต จะใช้วิธีเดียวกันไม่ได้ ต้องเร็วและมีคุณภาพ” ธนินท์ เจียรวนนท์ กล่าว

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 กล่าวว่า วันนี้ (16 ส.ค. ชุดใหญ่มีมติให้คงระดับของมาตรการย่อยในพื้นที่ทั่วราชอาณาจักรและคงมาตรการเดิมในแต่ละพื้นที่) ตั้งแต่วันที่ 18-31 ส.ค. 64 โดยปรับสถาบันการเงินในห้างสรรพสินค้าเปิดให้บริการ
นอกจากนี้ มาตรการต่างๆ ได้เพิ่มขึ้น และยังมีข้อเสนอให้รัฐสนับสนุนการทดสอบโควิด-19 ผมเองได้มีส่วนร่วมในการจัดทำ Thai Covid Pass เป็นส่วนหนึ่งของการเตรียมการเพื่อรองรับการเปิดประเทศ
ตลาดหุ้นไทยมีความผันผวนสูง จากดัชนีลงต่ำสุด 1512.28 จุด หรือไหลลง 16 จุด แต่เด้งกลับมาปิดเร็วที่ 1531.24 จุด +2.92 จุด มูลค่าซื้อขาย 77,166.69 ลบ. โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิ 1,433.42 ลบ. ต้านสถาบันไทยขาย 1,128 ล้านบาท และยอดขายปลีก 430.75 ล้านบาท

นายณัฐพล คำทาเครือ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) กล่าวว่า ตลาดหุ้นมีการซื้อคืนที่แข็งแกร่ง หลังจากลงไปทดสอบแนวรับหลักแล้ว นอกจากนี้ เศรษฐกิจในไตรมาส 2 ขยายตัว 7.5% ดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 6-6.5% แม้ว่าการลดลงทั้งปี 2564 จะลดลงเหลือ 0.7-1.2% แต่ไม่เป็นลบทำให้ตลาดมีความหวัง

แนวโน้มหุ้นสัปดาห์นี้ (17-20 ส.ค. 2564) คาดว่าตลาดจะเคลื่อนไหวอยู่ในแนวรับที่ 1,500 จุด และแนวต้าน 1,540-1550 จุด เราแนะนำหุ้นที่ปลอดภัยเช่น DTAC และ ADVANC ในขณะที่หุ้นที่มีเงินปันผลดีแนะนำ KKP และหุ้นเด่นแนะนำ SVOA ปัจจัยที่น่าจับตามอง ได้แก่ การเมืองและผลการประชุมเฟดล่าสุด ที่จะออกวันพุธนี้

[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนอยู่

.